นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนไทยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการค้าต่างประเทศ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมศุลกากร และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เข้าร่วมประชุมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (ซีปา) ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่นครดูไบ โดยได้แบ่งคณะทำงาน 9 คณะ เพื่อหารือยกร่างความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาทิ การค้าสินค้า กฎถิ่นกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า การค้าบริการและการค้าดิจิทัล ทรัพย์สินทางปัญญา ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย จากนั้นได้นัดเจรจารอบสองที่กรุงเทพฯ โดยตั้งเป้าหมายเจรจาให้จบภายใน 6 เดือนคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
“จากการศึกษาเบื้องต้น พบว่า การจัดทำซีปา ระหว่างไทย-ยูเออี จะส่งผลให้จีดีพีของไทยเพิ่มขึ้น 318-357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,867-12,201 ล้านบาท และการส่งออกของไทยขยายตัว 190-243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,494-8,305 ล้านบาท โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกได้มากขึ้น อาทิ สินค้าอาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง พลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เเละยานยนต์และชิ้นส่วน”
ทั้งนี้ ยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลาง ในปี 2565 การค้าระหว่างไทย-ยูเออี มีมูลค่า 20,824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 73.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค. 66) การค้าไทย-ยูเออี มีมูลค่า 4,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.6%
นางอรมน กล่าวว่า ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการการค้าเสรีไทย-ชิลี ครั้งที่ 4 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี ได้ติดตามการดำเนินงานเอฟทีเอ ไทย-ชิลี ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 58 โดยไทยและชิลี อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการภายใน เพื่อปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า จากระบบ เอชเอส2012 เป็นเอชเอส2022 เพื่อให้สอดคล้องกับพิกัดสินค้าที่ใช้ในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์และเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังคำพูดจาก ปั่นสล็อต
ทั้งนี้ เอฟทีเอฉบับนี้มีประโยชน์กับผู้ประกอบการของไทยและชิลีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการขยายมูลค่าการค้าของทั้งสองฝ่าย จากเดิมที่มีมูลค่าการค้า 894.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 58 เป็น 1,289.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 65 หรือขยายตัวเพิ่มมากกว่า 40%